วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561





อาชีพครู



ครู คือ อาชีพที่ ถ่ายทอดความรู้ ด้วยวิธีการสอนและการจัดการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ
เพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพของตนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อาชีพครู สามารถจำแนกออกได้หลายประเภทตามลักษณะการสอนและลักษณะของสังกัดอีกด้วย
เช่น
ครูในสังกัดโรงเรียนสามัญ จะประกอบไปด้วยครู 8 กลุ่มสาระ และครูกิจกรรม
ยกตัวอย่างเช่น ครูผู้สอนภาษาต่างประเทศ ครูผู้สอนภาษาไทย
ครูผู้สอนคณิตศาสตร์ ครูผู้สอนศิลปะ
ครูผู้สอนการงานอาชีพและเทคโนโลยี ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์
ครูผู้สอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ครูผู้สอนพลศึกษาและสุขศึกษา
ครูผู้จัดกิจกรรมแนะแนว และอื่น ๆ ตามลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ครูในสังกัดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาสายอาชีพ/อาชีวะ จะประกอบไปด้วยครูผู้มีความชำนาญด้านสายอาชีพ
ยกตัวอย่างเช่น
ครูผู้สอนช่างยนต์ ครูผู้สอนเขียนแบบ
ครูผู้สอนช่างอิเล็กทรอนิกส์ ครูผู้สอนช่างไฟฟ้า
ครูผู้สอนช่างก่อสร้าง ครูผู้สอนช่างกล
ครูผู้สอนช่างเชื่อม และครูผู้สอนอื่น ๆ ตามลักษณะสายอาชีพที่ต้องการฝึกฝนผู้เรียนให้เกิดความพร้อมในการประกอบอาชีพ ตามสาขาวิชาที่เปิดสอน
ครูนอกสังกัด นับว่าเป็นครูเช่นกัน เช่น ครูในสถาบันกวดวิชา
ครูสอนดนตรี ครูสอนเต้น ก็ถือได้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นครู แต่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ อาจไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู
แต่บุคคลเหล่านั้นถือว่าได้มีการสั่งสอน จึงจัดว่าเป็นครู(ตามทัศนคติของผมเอง)
หรือมากไปกว่านั้นยังมีครูพื้นบ้าน และผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ เขาก็คือครูโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม
และอาจมีประเภทสายการสอนของครูในยุคอนาคตเกิดขึ้นใหม่ตามวิทยาการที่เปลี่ยนแปลงอีกมากมาย เพราะเกิดวิทยาการใหม่ ๆ ย่อมต้องมีการถ่ายทอดความรู้จึงต้องพึ่งพาผู้มีความรู้มาถ่ายทอด ครูก็คือผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ตนมีให้ผู้อื่น เพื่อให้เกิดความรู้และสติปัญญาในเรื่องนั้น ๆ

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพครู
1.  ผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไป (คณะครุศาสตร์/คณะศึกษาศาสตร์)
2.  มีใบประกอบวิชาชีพครู
3.  มีความรู้ความชำนาญเฉพาะเรื่อง ตามวิชาที่ตนถนัด
4.  มีความซื่อสัตย์ สุจริต
5.  รักเด็ก มีจิตใจโอบอ้อมอารี
6.  ศรัทธาต่อวิชาชีพครู
7.  รักการแสวงหาความรู้
8.  ชอบการสอน
9.  อื่นๆ
นอกเหนือจากนี้คือคุณสมบัติของครูที่มีความสามารถเฉพาะด้านโดยไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
1)  มีความรู้ ความชำนาญและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ โดยเฉพาะ
2)  เป็นผู้มากประสบการณ์ และต้องการถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รู้และทราบ
3)  เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ตนมีให้ผู้อื่นด้วยวิธีการต่าง ๆ
4)  อื่น ๆ

ขอบข่ายงานของอาชีพครู
1.  การจัดการสอน/การจัดการเรียนรู้
2.  เป็นที่ปรึกษาให้ผู้เรียน
3.  ดูแลผู้เรียนทุกคนที่อยู่ในโรงเรียน
4.  แสวงหาวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบต่าง ๆ
5.  หน้าที่อื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้างานและสถานศึกษา

แนวทางการพัฒนาอาชีพครู
1.  ครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
1.1  ครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
1.2  ครูวิทยฐานะเชี่ยวชาญ
1.3  ครูวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ
2.  ครูเอกชน
3.  ครูอัตราจ้าง
4.  ครูพี่เลี้ยงเด็ก
5.  ผู้อำนวยการโรงเรียน
6.  เจ้าของกิจการสถานศึกษาเอกชน
7.  เจ้าของกิจการโรงเรียนกวดวิชา
8.  เปิดสอนพิเศษ
9.  ผู้ทรงคุณวุฒิ
10.  นักวิชาการ
11.  นักการศึกษ
12.  อื่น ๆ
http://oknation.nationtv.tv/blog/piwfreedom/2013/11/23/entry-2

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561

อาชีพพยาบาล



พยาบาล 

         เป็นวิชาชีพที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย มักจะสวมชุดพยาบาลสีขาวและสวมหมวกที่มีลักษณะเฉพาะตัว พยาบาลพบได้ทั่วไปทำงานตามโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลอื่นๆ พยาบาลเป็นวิชาชีพที่ก่อนจะปฏิบัติงานจต้องผ่านการสอบขึ้นทะเบียนความรู้จาก สภาการพยาบาลก่อนจึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยพยาบาลสามารถที่จะดูแลผู้ป่วยได้ตามหลักการพยาบาลที่ได้เรียนมา เป็นเวลา 4 ปีสำหรับพยาบาลวิชาชีพ และสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลมีมากมายในประเทศไทยทั้งที่สังกัดกระทรวง สาธารณสุขและเอกชน

นิยามอาชีพ

          ผู้ปฏิบัติอาชีพพยาบาล ทำหน้าที่ให้การรักษาพยาบาล และดูแลผู้ป่วยทั้งทางกายและจิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพ รักษาและป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพ วางแผนและให้บริการด้านพยาบาล และทำหน้าที่ช่วยแพทย์ ในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล

ลักษณะของงานที่ทำ

         รักษา ดูแล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพยาบาล เป็นผู้ช่วยแพทย์ โดยการสังเกต และบันทึกความเปลี่ยนแปลงในคนไข้ รายงานให้แพทย์ทราบถึงอาการของคนไข้ตามลักษณะโรคที่เป็นทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพของคนไข้ ช่วยคนไข้ให้ปรับตัวเข้ากับภาวะขัดข้องใดๆ ที่อาจเกิด จากการเจ็บป่วย จัดให้คนไข้ มีสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัย ป้องกันและควบคุมการเผยแพร่ของโรคติดเชื้อ สอนคนไข้ และประชาชนทั่วไปให้รู้จักการดูแลและส่งเสริมสุขภาพวางแผน มอบหมาย สั่งการ ดูแล และประเมินผลงานของผู้ช่วยพยาบาล และผู้ทำหน้าที่ประสานงาน ร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ และอนามัยแขนงอื่นๆ ในการบริการคนไข้

สภาพการจ้างงาน

สำหรับหน่วยงานราชการพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้รับเงินเดือนอัตรา6,360 บาท ส่วนพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทได้รับเงินเดือนอัตรา 7,780 บาท และปริญญาเอกได้รับเงินเดือนอัตรา 10,600 บาท
ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจผู้ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้ รับเงินเดือนประมาณ 7,000 -7,600 บาท
สำหรับหน่วยงานเอกชน พยาบาลที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับเงินเดือนขั้นต้นประมาณ 13,900 บาท ค่าอยู่เวร เวรละ 250 บาท ซึ่งจะมีรายได้เฉลี่ยจากค่าอยู่เวรประมาณเดือนละ 2,500 - 3,000 บาท ซึ่งพยาบาลเอกชนจะมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 16,000 บาทมีสวัสดิการที่พักและสิทธิพิเศษ อื่นๆ ตามเงื่อนไขการตกลงกับผู้ว่าจ้าง ผู้ปฏิบัติงานอาชีพพยาบาลโดยปกติทำงานวันละ 8 - 9 ชั่วโมง และมีการเข้าเวรทำงานตามที่กำหนดเป็นระเบียบ

คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ

ผู้ประกอบอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. สำเร็จการศึกษา พยาบาลศาสตร์ต่อเนื่อง หรือพยาบาลศาสตร์
2. มีสุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่พิการหรือทุพพลภาพ ปราศจากโรค (อันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน)
3. มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รังเกียจผู้เจ็บป่วย มีความเมตตา และมีความรักในเพื่อนมนุษย์มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
4. มีความอดทน อดกลั้น และมีความกล้าในการตัดสินใจ
5. มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
6. มีความเสียสละที่จะเดินทางไปรักษาพยาบาลผู้คนในชุมชนทั่วประเทศปฏิบัติ นอกจากนี้ พยาบาลที่ออกเวรแล้วสามารถหารายได้พิเศษในการรับจ้างเฝ้าไข้ ให้กับคนไข้อีกด้วยผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้

เมื่อสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องเลือกเรียน/ศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (สายวิทยาศาสตร์) จากนั้นจึงจะทำการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาพยาบาลของมหาวิทยาลัย ต่างๆ ที่สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งนี้การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องมีผลการเรียนวิชาฟิสิกส์ เคมีชีววิทยา ค่อนข้างดีด้วย

เครื่องแบบเมื่อสำเร็จการศึกษา


ที่มา:https://www.google.co.th/search?

เมื่อพยาบาลสำเร็จการศึกษาจะมีเครื่องแบบแตกต่างกันตามสถาบัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3ลักษณะคือ

ครุยปริญญา

สวมครุยปริญญาของสถาบันที่สำเร็จการศึกษา


ชุดขาวปกติแขนยาว ติดช่อดอกไม้ที่หน้าอก


      ดังเช่น ของกระทรวงสาธารณสุข นางสาวมณี สหัสสานนท์ เป็นผู้นำมาใช้เพื่อระลึกถึงความเป็นเพื่อนร่วมรุ่นและความสามัคคี มีเรื่องเล่าว่า มีพยาบาลรุ่นหนึ่งเมื่อจบการศึกษาแล้วต้องการรวมรุ่นทุกคน พยาบาลผู้หนึ่งในรุ่นนั้นได้รับอุบัติเหตุ ก่อนเสียชีวิตได้สั่งสามีให้นำช่อดอกไม้มามอบแก่เพื่อนที่มาชุมนุมเป็น สัญญลักษณ์แห่งความรักและความสามัคคีของหมู่พยาบาล นับแต่นั้นจึงใช้ดอกไม้ติดปกเสื้อในวันสำเร็จการศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้หมายถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Unity) ปกติใช้สำหรับผู้จบการศึกษาในหลักสูตรต่อเนื่อง เช่น ครูพยาบาล ต่อมานำมาใช้สำหรับหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลและผดุงครรภ์ด้วย


ชุดปกติขาวสวมเสื้อคลุม


     ซึ่งพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์และผดุงครรภ์ สังกัดกองงานวิทยาลัยพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข จะสวมเสื้อคลุม (cape) ในวันรับประกาศนียบัตร เสื้อคลุมทำด้วยผ้าสักหลาด ด้านนอกสีน้ำเงิน ด้านในสีแดงสด เสื้อผ่าด้านหน้าเปิดพับชายด้านซ้ายไว้ที่ไหล่ซ้าย นางสาวมณี สหัสสานนท์ อาจารย์ผู้ปกครอง เป็นผู้นำมาใช้เมื่อก่อตั้งโรงเรียนเป็นครั้งแร พ.ศ. 2492 และได้ถือเป็นประเพณีนิยมกันมาถึงทุกวันนี้ เสื้อคลุมเป็นสัญลักษณ์ของการทำความดี การเสียสละ และอุทิศตนเพื่อความสุขของผู้อื่น ปรากฏเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิม ในหนังสือ 1 พงศาวดารกษัตริย์ บทที่ 19 ข้อ 19 และ 2 พงศาวดารกษัตริย์บทที่ 2 ข้อ 8-12 กล่าวว่าชายคนหนึ่งชื่ออิลิจา (Dlijah) ใส่เสื้อคลุมไม่มีแขนทำด้วยหนังแพะ ประกอบแต่กิจกรรมต่างๆ ที่นำความสุขมาสู่เพื่อนมนุษย์และใช้เป็นเครื่องมือรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วย ไข้ เมื่ออิลิจาสิ้นชีวิตลง แอลลิซ่า (Elisha) เพื่อนซึ่งมีความศรัทธาในการทำงานอันเป็นบุญกุศลของอิลิจา จึงได้รับช่วงเสื้อคลุมและปฏิบัติตนเช่นเดียวกับอิลิจาสมดังเจตนาของพระเจ้า นางสาวมณี สหัสสานนท์ จึงนำเสื้อคลุมมาใช้ในความหมายดังกล่าว ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาพยาบาลบางแห่ง นอกจากกระทรวงสาธารณสุขก็นำเสื้อคลุมไปใช้ด้วยเช่นกัน